ไวร์เมช
การเลือกความแข็งแรงของ Wire Mesh ในงานก่อสร้าง
ขนาดและความแข็งแรงของ ไวร์เมช ในงานก่อสร้าง การเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับประเภทของงานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานยาวนาน หนึ่งในวัสดุที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างคอนกรีตคือ ไวร์เมช หรือ ตะแกรงเหล็กเสริมคอนกรีต Wire Mesh เป็นเหล็กเส้นที่ถูกเชื่อมหรือสานเป็นตาราง มีขนาดเส้นลวดและระยะห่างของช่องตารางต่างกันไปตามมาตรฐานและการใช้งาน ความเข้าใจในขนาดและความแข็งแรงของ Wire Mesh จะช่วยให้ผู้รับเหมา วิศวกร และเจ้าของโครงการเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขนาดของ Wire Mesh มีหลายขนาด ทั้งในด้าน เส้นลวด (Wire Diameter) และ ระยะห่างของช่องตาราง (Spacing) ขนาดเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความสามารถในการรับแรงของ Wire Mesh ขนาดเส้นลวด (Wire Diameter) ขนาดเส้นลวดของ Wire Mesh มักมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 4 12 มม. ขนาดเส้นลวดที่ใหญ่ขึ้นจะมีความแข็งแรงมากขึ้น สามารถรับแรงดึงและแรงอัดได้สูง ตัวอย่างขนาดที่นิยมใช้งานมีดังนี้
- 4 มม. ใช้ในงานเทพื้นบ้านหรือทางเท้าที่รับน้ำหนักไม่มาก
- 6 มม. เหมาะสำหรับพื้นอาคาร บ้านพัก หรือทางเดินที่มีน้ำหนักปานกลาง
- 9 มม. ใช้ในงานลานจอดรถ โรงงาน หรือพื้นถนนที่รับน้ำหนักมาก
- 12 มม. ใช้ในงานโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น โครงสร้างฐานราก เขื่อน หรือแผ่นพื้นอุตสาหกรรม
การเลือกขนาดเส้นลวดต้องสอดคล้องกับประเภทของงานและน้ำหนักที่โครงสร้างต้องรับ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของการแตกร้าว
ระยะห่างของช่องตาราง (Spacing)
Spacing คือระยะระหว่างเส้นลวดในแนวนอนและแนวตั้ง โดยทั่วไป Wire Mesh จะมีช่องตารางมาตรฐาน เช่น 100 x 100 มม., 150 x 150 มม., 200 x 200 มม. ระยะห่างที่เล็กลงจะทำให้ Mesh แข็งแรงขึ้น เพราะเส้นลวดมากขึ้นและกระจายแรงได้ดีขึ้น
- 100 x 100 มม. ใช้ในงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น พื้นโรงงาน พื้นลานจอดรถ
- 150 x 150 มม. เหมาะสำหรับพื้นบ้าน อาคารขนาดกลาง
- 200 x 200 มม. ใช้ในงานพื้นเบา เช่น ทางเท้า ลานเล็กๆ
การเลือกSpacing ควรคำนึงถึงความหนาของคอนกรีตและชนิดของงานด้วย
ความสามารถในการรับแรงดึงของคอนกรีต
ความแข็งแรงของ Wire Mesh ความแข็งแรงของ Wire Mesh ขึ้นอยู่กับขนาดเส้นลวด วัสดุที่ใช้ผลิต และการออกแบบผังตาราง ความสามารถในการรับแรงดึง คอนกรีตมีความแข็งแรงในการรับแรงอัดสูง แต่แรงดึงต่ำ การเสริมด้วย Wire Mesh ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึง ลดการแตกร้าวจากแรงดึง และช่วยกระจายแรงอย่างสม่ำเสมอ Wire Mesh ที่มีเส้นลวดหนาและระยะห่างตารางเล็กจะสามารถรับแรงดึงได้มากที่สุด การกระจายแรง Wire Mesh ช่วยกระจายแรงไปทั่วแผ่นคอนกรีต ทำให้ลดแรงกดและแรงดึงบริเวณจุดใดจุดหนึ่ง การกระจายแรงนี้ช่วยลดปัญหาการแตกร้าวและทำให้พื้น ผนัง หรือโครงสร้างมีความแข็งแรงทนทาน ความต้านทานต่อการแตกร้าว Wire Mesh ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างเสริมภายในคอนกรีต เมื่อเกิดการหดตัวหรือแรงดึง Wire Mesh จะยึดเนื้อคอนกรีตไว้ ทำให้รอยแตกร้าวเกิดได้ช้าลงและมีขนาดเล็ก ลดปัญหาการซ่อมแซมในอนาคต ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม Wire Mesh ที่ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูงและเคลือบผิวสามารถทนต่อความชื้นและการกัดกร่อนได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับงานก่อสร้างกลางแจ้ง งานถนน หรือพื้นที่ที่ต้องสัมผัสน้ำและอากาศ
การเลือกWire Mesh ตามงานก่อสร้าง
การเลือกWire Mesh ต้องพิจารณาทั้ง ขนาดเส้นลวด, ระยะห่างตาราง, และ ความหนาของคอนกรีต ตัวอย่างการใช้งานทั่วไป งานพื้นบ้านและอาคารทั่วไป
เส้นลวด 4 6 มม. Spacing 150 x 150 มม. เหมาะสำหรับพื้นลานจอดรถเล็ก พื้นทางเดิน งานลานจอดรถและโรงงาน
เส้นลวด 9 มม. Spacing 100 x 100 150 x 150 มม. รับน้ำหนักรถยนต์และเครื่องจักรได้ดี งานโครงสร้างหนักและฐานราก
เส้นลวด 12 มม. ขึ้นไป Spacing 100 x 100 มม. หรือตามแบบวิศวกรรม ใช้ในงานเขื่อน ฐานรากอาคารสูง หรือแผ่นพื้นอุตสาหกรรม
ข้อควรระวังในการใช้งาน Wire Mesh

การวางตำแหน่ง Wire Mesh ต้องวางในตำแหน่งที่ถูกต้อง เช่น อยู่กึ่งกลางหรือช่วงบนของแผ่นพื้น เพื่อให้เสริมแรงคอนกรีตได้เต็มที่ ตรวจสอบคุณภาพเหล็ก เลือก Wire Mesh ที่ได้มาตรฐาน เช่น มอก. และไม่มีสนิม ไม่ควรงอหรือบิด Mesh การดัดหรือบิดอาจทำให้ความแข็งแรงลดลง ระวังการทับซ้อน เมื่อใช้หลายแผ่น ควรทับซ้อนตามมาตรฐาน เพื่อไม่ให้เกิดจุดอ่อน Wire Mesh เป็นวัสดุที่สำคัญอย่างยิ่งในงานก่อสร้าง ช่วยเสริมความแข็งแรงให้คอนกรีต ลดการแตกร้าว และเพิ่มความทนทานให้โครงสร้าง การเลือกWire Mesh ต้องคำนึงถึง ขนาดเส้นลวด, ระยะห่างช่องตาราง, และ ชนิดงานก่อสร้าง เพื่อให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การใช้ Wire Mesh อย่างถูกวิธีและเหมาะสมจะช่วยให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ปลอดภัย และคุ้มค่าในระยะยาว